วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์การเมืองไทยเชิงปรัชญา

1. วิวัฒนาการแนวคิดทางการเมืองจากสุโขทัยถึงปัจจุบัน
• จากแนวคิดแบบธรรมราชาในสมัยสุโขทัยได้ปรับเปลี่ยนเป็นเทวราชาแบบพิเศษที่มีการผสมผสานระหว่างธรรมราชาแบบพ่อปกครองลูกมาเป็นเทวราชาแบบพระโพธิสัตว์ในสมัยอยุธยา
• ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นและตอนกลาง แนวคิดแบบธรรมราชาและเทวราชาก็ยังเป็นแนวคิดต่อเนื่อง จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ได้เกิดความคิดที่จะลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่กษัตริย์ทั้ง 2 พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยโดยทรงให้เหตุผลว่าประชาชนยังขาดการศึกษาและยังไม่มีความเข้าใจในระบบประชาธิปไตยอย่างดีพอ แนวคิดแบบจำกัดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ได้ประสบความสำเร็จในรัชกาลที่ 7 แต่ก็ได้ยกย่องถวายพระเกียรติให้กษัตริย์ ซึ่งถึงแม้ว่าพระองค์จะอยู่ภายใต้กฏหมาย แต่ในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติโดยการเทิดทูนเอาไว้ว่า
“องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหา หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”
อีกประการหนึ่ง ที่พระองค์ทรงกระทำอะไรไม่ผิดเพราะทรงปฏิบัติพระราชอำนาจโดยผ่านอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 คือ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ดังนั้นอำนาจทั้ง 3 นี้ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้ปฏิบัติการ
1. วิวัฒนาการแนวคิดทางการเมืองจากสุโขทัยถึงปัจจุบัน (ต่อ)
2. แนวคิดชาตินิยม (Nationalism)
เป็นแนวคิดที่สดุดี ความภักดีและการ
เสียสละเพื่อชาติของตนเหนือสิ่งอื่นใด เป็นค่านิยมและวิธีการที่จะทำให้ชาติมีความสมบูรณ์พูนสุข ถือว่าชาติของตนต้องเหนือกว่าชาติอื่น ๆ
ชาติต่าง ๆ ในยุโรปเมื่อกลายมาเป็นรัฐชาติและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยแล้ว ทำให้แต่ละชาติมีแนวคิดในเรื่องชาตินิยมอย่างเข้มข้น อันนำไปสู่สงครามโลกในเวลาต่อมา
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์ ทั้งพระราชนิพนธ์ บทละคร ประวัติศาสตร์ เรื่องแปล สารคดี เรื่องปลุกใจให้รักชาติ ทรงนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทรงตั้งกองลูกเสือไทย ส่งเสริมการศึกษา ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา ทรงสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งธนาคาร ประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล ออกแบบธงไตรรงค์ขึ้นใช้
ใน พ.ศ. 2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก
พระราชดำริทางการเมือง
แบบชาตินิยมของรัชกาลที่ 6
1. ทรงใช้บทพระราชนิพนธ์ พระบรมราชโองการและ พระราชดำรัส
2. ทรงใช้สัญลักษณ์ และการสร้างสถาบันต่าง ๆ ขึ้น
รัชกาลที่ 6 มีวิธีการหรือเครื่องมือในการสร้างชาตินิยมอยู่ 2 ประการ ใหญ่ ๆ คือ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์
พลเอก เผ่า ศรียานนท์
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
14 ก.ค. 2440 – 11 มิ.ย. 2507
นายกรัฐมนตรีคนที่ 3
ดำรงตำแหน่ง
16 ธ.ค. 2481 – 1 ส.ค. 2487 (ลาออก)
8 เม.ย. 2491 – 16 ก.ย. 2500 (รัฐประหาร)
รวม 18 ปี
ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมของ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม
เน้นความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อชาติและการปฏิบัติตามนโยบายสร้างชาติของรัฐบาลโดยเคร่งครัด
1. การใช้แนวคิดแบบรัฐนิยม
2. การฟื้นฟูวัฒนธรรมแห่งชาติ
3. บทเพลงและละครปลุกใจ
4. การใช้คำขวัญ บทความ สุนทรพจน์ และคติเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยม
• การใช้สื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ประมวลวัน ใช้คำขวัญว่า
“เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย”
ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยม
• ความคิดทางการเมืองแบบชาตินิยม และเผด็จการทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เน้นความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดจนสร้างความปลอดภัยให้สถาบันทั้ง 3 ด้วยแนวคิดความสามัคคีและอำนาจเผด็จการทางทหาร
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
16 มิ.ย. 2451 – 8 ธ.ค. 2506
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 11
9 ก.พ. 2502 – 8 ธ.ค. 2506
(ถึงแก่อสัญกรรม)
“ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นภายหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในยุโรป แข่งกับลัทธิเสรีประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจเสรีที่เป็นทุนนิยม ยกย่องการทำลายระบอบเศรษฐกิจทุนนิยม ระบอบศักดินา และการเอารัดเอาเปรียบมนุษย์ด้วยกัน โดยชี้ให้เห็นว่า การใช้กำลังในการต่อสู้กับระบอบทุนนิยมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมของคอมมิวนิสต์
3. แนวคิดสังคมนิยม
(Socialism)
สังคมนิยมเน้นอะไร ?
สังคมนิยม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจ และ การเมืองที่มีนโยบายมุ่งสนับสนุนและปรารถนาจะให้ชุมชน สังคม หรือส่วนรวมถือกรรมสิทธิ์หรือควบคุมการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยในการผลิต เช่น ทุน ทรัพยากร ที่ดิน วิทยาการ ทั้งนี้เพื่อมุ่งกระจายผลประโยชน์เหล่านี้เพื่อประชาชนทั้งมวล เน้นให้สังคมได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งหมด
- สังคมนิยมของปรีดี พนมยงค์ มีลักษณะให้รัฐเข้าควบคุมปัจจัยการผลิตโดยยึดหลักตอบแทนผลประโยชน์ให้กับเจ้าของปัจจัยการผลิตและผู้ผลิตเดิม เป็นแนวความคิดซึ่งผสมผสานแนวความคิดของสังคมนิยมและประชาธิปไตยเข้าด้วยกัน รัฐจะเข้าควบคุมกิจการบางอย่างและเปิดให้เสรีในบางกิจการ แนวคิดนี้เน้นหลักการของแนวคิดสังคมนิยมว่า เป็นเครื่องช่วยให้เกิดความเจริญขึ้นในสังคมที่ยังล้าหลังได้รวดเร็วกว่าแนวคิดทุนนิยมและทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคมที่มีความแตกต่างกันอยู่มากระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน
แนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย
(Democratic Socialism)
4. อำนาจนิยมหรือเผด็จการทางทหาร
• แม้ประเทศไทยจะมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยยังตกอยู่วังวนแห่งอำนาจเผด็จการทางทหาร
• นับตั้งแต่มีการยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ คณะราษฎรก็มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ในหมู่ตนเอง ประชาชนไม่มีอำนาจอย่างแท้จริงในการกำหนดชะตาชีวิตให้แก่ตัวเอง
• ไม่มีใครรับรองได้ว่าประเทศไทยจะปลอดจากรัฐประหารเมื่อใด การสืบทอดอำนาจได้มีเรื่อยมา โดยเฉพาะแนวคิดแบบชาตินิยมผสมเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และได้รับการสืบต่ออำนาจโดยจอมพลถนอม กิตติขจร จนนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 การชุมนุมกำลังของประชาชนที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย วันที่ 13 ตุลาคม 2516 เวลา 17.00 น.
ซ้ายพิฆาตขวา ขวาพิฆาตซ้าย
1.จอมพลประภาส จารุเสถียร 2.จอมพลถนอม กิตติขจร 3.พันเอกณรงค์ กิตติขจร
3 ผู้นำ ยุค 14 ตุลาคม 2516

1. เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เร่งพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน แต่เอาต้นประชาธิปไตยมาทำบอนไซประดับบ้าน จอมพลถนอม กิตติขจรผู้นำคนต่อมามีบารมีไม่พอไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางอำนาจได้
2. ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ทำให้ชนชั้นกลางไม่พอใจระบอบการเผด็จการทางทหารของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร
3. ประชาชนเดือดร้อนเพราะข้าวสารและน้ำตาลทราบขาดแคลนรัฐบาล
4. ไทยมีนโยบายต่างประเทศตามแบบอเมริกา สหรัฐใช้ดินแดนไทยเป็นที่ตั้งฐานทัพ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดที่อินโดจีน
5. แกนนำนิสิต 13 คนที่เดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญถูกตำรวจจับ
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
เหตุการณ์นี้เป็นการรวมพลังของปัญญาชนและชนชั้นกลาง นำขบวนโดยนิสิตนักศึกษาออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ทำให้นักศึกษาเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยมารวมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีจำนวนคนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนรวมตัวกันเป็นแสนคนเคลื่อนตัวมายังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 13 ตุลาคม และได้กลายเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาวิปโยคเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับกุม 13 คน และให้ผู้นำประเทศในเวลานั้นลาออก
จิรนันท์ พิตรปรีชา
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ผู้นำนิสิต นักศึกษาสมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519
ธีระยุทธ บุญมี
ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์
สุธรรม แสงประทุม

เป็นเหตุการณ์ที่พัฒนามาจาก 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่ต่อต้านขบวนการนิสิตนักศึกษา กลุ่มนิสิตนักศึกษา เรียกพวกนี้ว่า ขวาพิฆาตซ้าย
นิสิตนักศึกษามีความเห็นว่า ลัทธิสังคมนิยมจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสและผู้ที่เสียเปรียบในสังคมได้ดีกว่าอุดมการณ์ทางประชาธิปไตย
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519
โดยความขัดแย้งทางอุดมการณ์เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา
ทำให้สังคมไทยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายซ้าย หมายถึง พวกที่ชื่นชมอุดมการณ์สังคมนิยม
2. ฝ่ายขวา ที่มีลักษณะอนุรักษ์ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ความขัดแย้งเริ่มรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด
ผลคือ ฝ่ายนิสิตนักศึกษาถูกโจมตี จากฝ่ายขวา (พวกอนุรักษ์) อย่างเหี้ยมโหด มีผู้ล้มเจ็บและตายจำนวนมาก เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมมากกว่า ครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ เช่น มีการเผาคนทั้งเป็น มีการแขวนคอ เป็นต้น
การสังหารหมู่ครั้งนี้มีนิสิตนักศึกษา และประชาชนเสียชีวิต ไม่ต่ำกว่า 300 คน และถูกจับ 300 – 400 คน นักศึกษาที่รอดจากการถูกจับประมาณ 2000 – 3000 คน หนีไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ส่วนฝ่ายทหารจึงทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
ภายหลังการรัฐประหารนองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ฝ่ายขวาหรือฝ่ายอนุรักษ์นำโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้ขึ้นบริหารประเทศ (ตุลาคม 2519 – 2525)
รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลพลเรือนที่อยู่ภายใต้การปรึกษาของ คณะปฏิรูป ประกอบด้วยทหาร 24 นาย มีสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ประกอบด้วยทหารและพลเรือน 340 คนในจำนวนนี้มี 130 คนมาจากทหาร 3 เหล่าทัพ

รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร บริหารงานไม่ถึงปีก็ถูกยึดอำนาจโดยกลุ่มทหาร เมื่อ 20 ตุลาคม 2520
พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เป็นนายกรัฐมนตรีแทน รัฐบาลก็ได้ปรับให้มีลักษณะแบบประชาธิปไตยเสรีนิยมมากขึ้น
จากนั้น การเมืองไทยก็วนเวียนอยู่กับการรัฐประหารของทหารอยู่เรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จึงทำให้ทหารต้องกลายเป็นทหารอาชีพ
พฤษภาทมิฬ ระหว่าง 17-20 พฤษภาคม 2535
จุดจบเผด็จการทางทหาร
จ.ป.ร. 7
จ.ป.ร. 5
รัฐบาลในขณะนั้นเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
และผู้ที่ทำการรัฐประหาร คือ กลุ่มผู้นำทางทหาร นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยได้อ้างว่ารัฐบาลมีการทุจริตฉ้อราษฎรบังหลวง
ดังนั้น ผู้นำทหารพร้อมด้วยคณะนายทหารที่เรียกตัวเองว่าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (ร.ส.ช.) ทำการรัฐประหารเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534
คณะ ร.ส.ช. ได้ทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2521 และให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฉบับ ร.ส.ช. และได้ทำการแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงให้เห็นว่าคณะ ร.ส.ช. ไม่ต้องการอำนาจทางการเมือง แต่คณะ ร.ส.ช. ก็มีอำนาจในการบริหารการเมืองอยู่ดี
โดยได้มอบอำนาจเฉพาะด้านเศรษฐกิจให้แก่ นายอานันท์ ปันยารชุน โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร ได้ให้คำสัญญาว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยใช้เวลาเพียง 6 เดือน และย้ำว่าผู้นำ ร.ส.ช. จะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่ในที่สุด พลเอกสุจินดา คราประยูร ก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ของไทย โดยยอมเสียสัจจะเพื่อชาติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2535 โดยอาศัยรัฐธรรมนูญฉบับ ร.ส.ช. พ.ศ. 2534
“ ข้อที่ว่านายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจาก ส.ส.”
จึงทำให้ประชาชนไม่พอใจ ได้มีการเดินขบวนประท้วงคัดค้านการเข้ากุมอำนาจทางการเมืองของผู้นำ ร.ส.ช.
จนกลายเป็นเหตุการณ์ก่อนพฤษภาทมิฬที่จบลงด้วยการนองเลือดในหว่างวันที่ 17 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
ซึ่งต่อมาเรียกว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
แต่ในหลวงได้ทรงยุติศึกโดยเรียกพลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็น จปร. 5 และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็น จปร. 7 เข้าเฝ้า และทรงขอให้ยุติการขัดแย้ง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาชนะกันในเมื่อ ความชนะนั้นเป็นความพินาศของประเทศชาติ
ในที่สุด พลเอก สุจินดา ก็ลาออก และได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปเป็นการชั่วคราว
และก็ได้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายชวน หลีกภัย ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนายชวนก็มีนายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ แล้วก็มานายชวน หลีกภัย
หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้ทหารกลับเข้าสู่กรม กองกลายเป็นทหารอาชีพ ประชาชนชาวไทยคิดว่าประเทศไทยเป็นอารยประเทศปลอดจากกลิ่นอายแห่งการปฏิวัติรัฐประหาร
ในสมัยนั้น เกียรติภูมิของทหาร เป็นภาพที่ติดลบในสายตาของประชาชน แต่กลับกลายเป็นผลดีที่ทำให้ทหารได้มีจิตสำนึกว่า ตนเองมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศชาติ ไม่ใช่การยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจเผด็จการ
นายกรัฐมนตรีคนต่อมาคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำพรรคไทยรักไทยมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลผสม
เขายังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งด้วยการเป็นผู้นำพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคเดียวในการจัดตั้งรัฐบาล แต่แล้วก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกลุ่มม็อบจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อทหารเห็นความขัดแย้งของคนไทยระหว่างรัฐบาลกับม็อบจึงได้ออกมาทำการรัฐประหาร
คมช. ภายใต้การนำของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ได้เชิญให้องคมนตรีคือ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 เพื่อรอการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการเลือกตั้งครั้งใหม่
เกิดเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2486
เริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน
เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2489
เริ่มดำรงตำแหน่งประธาน คมช.
19 กันยายน พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน
ผบ.ทบ. 11 นายกฯ 2
ผบ.ทบ. 12 นายกฯ 3
ผบ.ทบ. 16 นายกฯ 11
ผบ.ทบ. 17 นายกฯ 10
จ.ป.ร. ผบ.ทบ. 35 คน เป็นนายกฯ 8 คน (โรงเรียนผลิตนายกรัฐมนตรี)
ผบ.ทบ. 22 นายกฯ 16
ผบ.ทบ. 25 นายกฯ 22
ผบ.ทบ. 26 นายกฯ 19
ผบ.ทบ. 31 นายกฯ 24

• คนไทยคิดว่าการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปจนกระทั่ง 19 กันยายน 2549
• ประชาชนชาวไทยก็รู้สึกช็อคทั้งประเทศ เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้น
• แต่ความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเพราะในครั้งนี้ คนไทยรู้สึกพอใจที่ทหารได้เข้ามาแก้ไขปัญหาระหว่างความขัดแย้งของรัฐบาลและฝ่ายต่อต้าน
V.S.
เตรียมทหารรุ่นที่ 10 นายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26
นายกรัฐมนตรี คนที่ 23
เตรียมทหารรุ่นที่ 6 จปร.รุ่นที่ 17
ผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 35
สรุปการเมืองไทย
อำนาจอยู่ที่กษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ทางการเมืองจะเลือกได้แต่เฉพาะผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น
ในระบบนี้ไทยเผชิญวิกฤติการณ์ 2 ครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เสียอยุธยาให้พม่า
ครั้งที่ 2 เผชิญการล่าอาณานิคมของยุโรป
ทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องปรับปฏิรูปใหม่มีกระทรวง ทบวง กรม จึงต้องมีการสร้างระบบราชการขึ้นมา ด้วยการส่งคนไปเรียนเมืองนอก เกิดข้าราชการแทนฝรั่ง
ราชาธิปไตย
ในสมัยนั้น กระแสประชาธิปไตยมาแรง ข้าราชการที่ไปเรียนต่างประเทศ อยากให้ไทยเป็นแบบฝรั่ง จึงมีการทูลฎีกาถวายความเห็นแด่รัชกาลที่ 5 แต่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย เนื่องจากทรงเห็นว่าประชาชนยังไม่มีความพร้อม
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เกิด กบฎ ร.ศ. 130
ในสมัยรัชกาลที่ 7 เกิดการปฏิวัตินำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
เกิดจากการปฏิวัติของพวกคณะราษฎร ดูเหมือนจะเป็นการปฏิวัติ แต่จริง ๆ คือ การแย่งอำนาจมาจากกษัตริย์สู่กลุ่มทหาร
จาก พ.ศ. 2475 – 2500 การเมืองวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนอำนาจจากสายทหารไปพลเรือน และจากพลเรือนไปสู่สายทหาร
เริ่มมีการพัฒนาในยุคจอมพลสฤษดิ์ เป็นกึ่งเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม ได้เกิดพ่อค้านายทุนขึ้น กรรมาชีพตั้งสหภาพ
เกิดชนชั้นกลางใหม่มีการศึกษาดี ตื่นตัวทางการเมือง แตกต่างจากรุ่นบรรพบุรุษซึ่งเป็นพวกต่างด้าว
2. อำมาตยาธิปไตย
แต่ได้ถูกทหารแช่แข็งประชาธิปไตย จึงทำให้นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คน 5 แสน มีนิสิตเป็นศูนย์กลางจึงลุกฮือขึ้นต่อสู้กับเผด็จการเพื่อทวงถามประชาธิปไตยที่แท้จริง และเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ขวาพิฆาตซ้าย รวมทั้ง การรัฐประหารจากสายทหารอยู่ไม่ขาดสาย
สรุป อำนาจเปลี่ยนมือจากราชา  ข้าราชการ (ทหาร)  ชนชั้นกลางใหม่ (นักธุรกิจ)
กลุ่มนักธุรกิจผู้มีเงินวิ่งเข้าหาทหารเพื่อขอความอุปถัมภ์คุ้มครองแล้วจ่ายเงินสนับสนุนทหาร
ทหารก็เอื้อเฟื้อทำให้ได้อภิสิทธิ์ในธุรกิจ เป็นการรวมตัวระหว่างอำนาจ + เงิน นำไปสู่การแต่งงานทางสังคมของลูกหลาน
ต่อมา นักธุรกิจเหล่านี้ได้เริ่มเข้าไปเป็นนายทุนพรรคและเผยโฉมเล่นการเมืองเองรวมทั้งมีสัมพันธ์กับทหารไปด้วย
ระบบเริ่มกลับหัวกลับหาง นักธุรกิจเริ่มจ้างทหารไปเป็นที่ปรึกษาในบริษัทใหญ่ ๆ
3. ธนาธิปไตย
จะต้องพยายามให้ประชาชนเข้าถึงประชาธิปไตยให้ได้เพื่อบีบ ธนาธิปไตย อย่าให้เงินซื้อศักดิ์ศรีคนได้ ประชาชนต้องสำนึกตัว อย่าทำตัวเป็นโสเภณีราคาถูก
พฤษภาทมิฬเป็นการสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับทหาร แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มทหารและนักธุรกิจการเมืองรุ่นเก่า 2) พลังประชาธิปไตยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ กลุ่มที่ 2 นี้ เป็นพวกต้องการประชาธิปไตย และไม่ชอบการผูกขาดทางอำนาจทางการเมือง และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทหารอ้างความจำเป็นเพื่อความสามัคคีของชาติเข้ามาจัดระเบียบให้การเมืองไทย
4. ประชาธิปไตยกับการทำลายตนเอง
ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะแปลกแยก สับสนเหมือนเรือไร้หางเสือ อันสืบเนื่องมาจากการเมืองที่สับสนโดยมีรัฐบาลที่เข้ามารักษาการ รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อาจนำมาซึ่งความสับสนรวมทั้งการไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ระบบเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนขาดความมั่นใจทางการเมือง เกิดความแตกสามัคคีของคนในชาติ ...?
แนวคิดการเมืองไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังหาทางที่จะสถาปนาแนวคิดแบบธรรมรัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
แต่แนวทางอุดมคตินั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ถ้าหากประชาชนยังขาดจิตสำนึกทางการเมือง และมีราคาค่าตัวในการเลือกตั้งเท่ากับไก่หรือเป็ดตัวหนึ่ง
แนวทางการแก้ไขคือ การให้ประชาชนสามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองของตนได้ดังคำพูดที่ว่า
แนวคิดทางการเมืองไทยในอนาคต
“เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์”

สรุปปรัชญาทางการเมืองไทย
จากราชาธิปไตยแบบธรรมราชาไปสู่เทวราชาและเกิดการผสมผสานกันโดยเน้นที่ธรรมราชาเป็นหลัก
แนวคิดทั้ง 2 ทำให้เกิดระบบความคิดทางการเมืองแบบ อำมาตยาธิปไตย คือ การแย่งอำนาจจากกษัตริย์มาอยู่ในวังวนแห่งการหมุนเวียนเปลี่ยนอำนาจระหว่างพลเรือนและขุนศึก
จากนั้น ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นธนาธิปไตย เมื่อนักธุรกิจ ผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนการเมืองได้ออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผยนำไปสู่ระบบประชาธิปไตยแบบการทำลายตัวเอง
จึงเกิดคำถามว่า ประเทศไทยจะพัฒนาด้วยระบบปรัชญาทางการเมืองแบบใด ?
1. เสียอยุธยา = ภัยจากภายนอก
2. ลัทธิล่าอาณานิคม = ภัยจากภายนอก
3. ลัทธิคอมมิวนิสต์ = ภัยจากภายนอกและภายใน
4. ลัทธิประชาธิปไตยแบบทำลายตัวเอง
แหล่งที่มา:http://www.siamjurist.com/forums/5129.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น